Exhibitions

2024

"SURVIVAL SPHERE"

Exhibition by
WANLOP HANSUNTHAI

Collaboraters:
Surasit Mankhong and Wilawan Wiangthong

05 October - 16 November 2024

Curated by Jirarat Chaiyarach

Wanlop Hansunthai uses symbols in his new works, exploring the origins of human existence and the growth and expansion of tribalism from long ago. Many artworks have been created around the world that reflect the changes in the social structures of a society, including the various cultural foundations, and which have been influenced by the perspectives, experiences and interests of those concerned in depicting the relationship between humans, nature and the environment.

The exhibition "SURVIVAL SPHERE" is the result of a imaginative interplay of beliefs, values and even mythology, including the pessimistic but unfortunately true ideas of the English philosopher Thomas Hobbes (1588 - 1679).

"Man is man's wolf."

Hobbes believed that humans are naturally selfish and ambitious and, like a wolf, fights for his own survival by any means necessary. People are suspicious and do not trust each other, and for the sake of security they have the right to protect themselves from others. It seems only natural that these traits have their roots deep in the human psyche.

The current world situation, in which there are more armed conflicts than ever before, man-made misery and hunger, people selfishly ignoring or even denying climate change, the hostile mood against refugees worldwide, all seem to confirm Hobbes' thesis.

The artist wants to stimulate a discourse about human behaviour and its different perceptions. The viewer is invited to enter into a dialogue and, if they do, perhaps their curiosity will be aroused to engage with different constructs of belief and philosophy.

The paintings, sculptures, mixed media and ceramic works on display are wonderfully complemented by a live performance and round off the artist's narrative of the interplay between humans, environment and history.

"SURVIVAL SPHERE"

นิทรรศการโดย
วัลลภ หาญสันเทียะ

ร่วมแสดงโดย
Surasit Mankhong และ Wilawan Wiangthong

จัดแสดง 05 ตุลาคม - 16 พฤษจิกายน 2567

นำเสนอ โดย Jirarat Chaiyarach

วัลลภ หาญสันเทียะ ใช้เป็นสัญลักษณ์เชิงเปรียบเทียบ สำรวจจุดเริ่มต้นของการกำเนิดสังคมมนุษย์และการขยายเผ่าพันธุ์ที่สร้างผลกระทบต่อความเป็นอยู่ สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางสังคม รวมถึงการปูรากฐานวัฒนธรรมอันหลากหลายที่เกิดขึ้นในโลกผ่านผลงานศิลปะจากทัศนคติ ประสบการณ์ และมุมมองของผู้ที่สนใจเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอันใกล้ตัว

นิทรรศการ Survival Sphere : จากนักล่าสู่ผู้ถูกล่า สร้างขึ้นจากจินตนาการระหว่างรอยต่อของความเชื่อ ค่านิยม หรือแม้แต่มายาคติ สอดแทรกแนวคิดทางปรัชญาของโทมัส ฮอบส์ ที่กล่าวว่า “มนุษย์มีธรรมชาติ ที่เห็นแก่ตัว มีความทะเยอทะยานเป็นสัญชาติญาณเดิม เปรียบเสมือนหมาป่าที่ต้อง คอยดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ด้วยเหตุดังกล่าวมนุษย์จึงหวาดระแวง ไม่ไว้วางใจ ซึ่งกันและกัน ทุกคนต่างปกป้องและรักษาชีวิตตนเอง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งทำร้าย มนุษย์จึงมีสิทธิตามธรรมชาติในอันที่จะรักษาตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัยจากการคุกคามหรือทำร้ายจากผู้อื่น” ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นธรรมชาติที่ถูกซ่อนอยู่ภายในจิตใจของมนุษย์

ภาพเขียน งานประติมากรรม การจัดวางสื่อผสมที่ไม่จำกัดเทคนิค รวมถึงศิลปะการแสดงสด เสมือนการสะท้อนให้เห็นถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ สิ่งแวดล้อม และประวัติศาสตร์ อันทำหน้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องราวทั้งหมด วัลลภ หาญสันเทียะ เปิดประเด็นการรับรู้ของมนุษย์ ชักชวนให้ผู้ชมสร้างบทสนทนาระหว่างกัน และกระตุ้นความสงสัยต่อการตั้งคำถามกับสังคมว่า แท้จริงแล้วความเชื่อที่ถูกสร้างขึ้นส่งผลต่อความคิดของผู้คนอย่างไร?  นิทรรศการ Survival Sphere : จากนักล่าสู่ผู้ถูกล่า จึงเป็นเพียงการเปิดประตูไปสู่นิยามความเชื่อในมิติต่างๆของบริบททางสังคม

"You Will Be There"

A solo exhibition by
Ohm Phanphiroj
01 June - 13 July 2024

Presented by Head High Second Floor.

“You Will Be There” is a self-portrait series exploring issues of self, identity, sexuality, and gender role. I examine the relationship between the self and others in an intimate context, both privately and publicly, opening a dialog about race, gender, role play, seduction, longing, and acceptance.

By photographing and displaying myself nude,I confront my own insecurity and vulnerability, leading to a series of personal investigations and acceptance of the body and its power. Each image arises from how I view myself and the world.

Making these portraits is a personal experience, a journey into a complex layer where identity is seen, judged, but rarely discussed. It reveals my personal desire for an openness and a search to understand not only who and what I am, but how the world understands me, regards me, and judges me.

This project is not only a personal response to a desire to understand myself, but also represents a greater, universal search for a place of belonging.

 

Ohm Phanphiroj

"คุณจะอยู่ที่ตรงนั้น"

นิทรรศการเดี่ยวโดย
โอม พันธ์ ไพโรจน์
จัดแสดง 01 มิถุนายน - 13 กรกฎาคม 2567

นำเสนอ โดย Head High Second Floor.

“คุณจะอยู่ที่ตรงนั้น“ (“You Will Be There”) เป็นการถ่ายทำภาพส่วนตัว (self-portrait) ที่สำรวจประเด็นเกี่ยวกับตัวตน อัตลักษณ์ เพศสภาพ และบทบาททางเพศ ในการแสดงศิลปะครั้งนี้ ผม ต้องการสื่อสารเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างตนเองและ ผู้อื่นในบริบทอันลึกซึ้ง ทั้งทาง พื้นที่ส่วนตัวและที่สาธารณะ โดยเปิดบทสนทนาเกี่ยวกับเชื้อชาติ เพศ การแสดงบทบาทสมมติ ความยั่วยวน ความปรารถนา และการยอมรับ ด้วยการถ่ายภาพตัวตนอันเปลือยเปล่า

นิทรรศการรูปถ่ายชุดนี้ ผมได้เผชิญหน้า กับความไม่มั่นคงและความอ่อนแอของตัวเอง ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถาม และการค้นพบตัวตนและการยอมรับ สภาพชีวิตจิตใจ และความไม่แน่นอนของ ชีวิต รวมถึงการปลดปล่อยสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้จากความเห็นของผู้อื่น ภาพแต่ละภาพเกิดจากการที่ผมมองตัวเองและผลสะท้อนต่อ สังคมโลกและผู้อื่น การสร้างภาพเหล่านี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัว เกี่ยวกับการเดินทางเข้าสู่โลกที่มีมุมมองอันซับซ้อน เผยให้เห็นถึงตัวตนและการถูกตัดสิน รวมไปถึงความปรารถนาในการเปิดโลกทัศน์และค้นหาเพื่อทำความเข้าใจ ในความแตกต่างของแต่ละบุคคลเพื่อทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ บนพื้นฐานของการยอมรับ

ศิลปะชุดนี้ไม่เพียงแต่เป็นการทำเพื่อตอบสนองตัวตนต่อความปรารถนาที่จะเข้าใจตัวเองเท่านั้น แต่ยังแสวงหาสถานที่อันนำไปสู่โลกสากลที่กว้างขึ้นอีกด้วย

 

โอม พันธ์ ไพโรจน์

"SAME OLD"

A solo exhibition by
Peerapon Boonthep
20 April - 18 May 2024

Presented by Head High Second Floor.

During the months of October and November 2023, I had the opportunity to help farmers in my hometown in Nan harvest their crops. I took advantage of the opportunity to document this experience by photographing them at work in the fields. Following this experience I spent another couple of months working with construction workers. Throughout this time I photographed these workers to document their daily lives. During the time I spent with my fellow workers, we shared many conversations together. They shared with me their hopes and desires, the obstacles they have overcome, and the nature of their personal struggles. Many people had similar stories and problems in their lives, particularly regarding economic hardships. But I found them to be positive, resolute, and strong willed despite the various difficulties they faced in their lives.

In this exhibition, I present to you selected photographs from my experiences with these workers. Within each room are objects and materials represented in these photos, related to their professional lives. These material objects are symbolic of the reality of their struggles, the concreteness of their lived experiences. By positioning these objects within the gallery space, I want to communicate to the viewers that their stories are real and they deserve to be seen.

"SAME OLD"

นิทรรศการเดี่ยวโดย
พีระพล บุญเทพ
จัดแสดง 20 เมษายน - 18 พฤษภาคม 2567

นำเสนอ โดย Head High Second Floor.

ในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2566 ฉันได้มีโอกาสช่วยเกษตรกรในบ้านเกิดของฉันที่เมืองน่านเก็บเกี่ยวพืชผล ฉันใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ในการบันทึกประสบการณ์ด้วยการถ่ายภาพพวกเขาขณะทำงานในทุ่งนา จากประสบการณ์นี้

ฉันใช้เวลาอีกสองสามเดือนทำงานกับคนงานก่อสร้าง ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ฉันถ่ายภาพคนงานเหล่านี้เพื่อบันทึกชีวิตประจำวันของพวกเขา ระหว่างที่ฉันอยู่กับเพื่อนร่วมงาน เราได้พูดคุยกันมากมาย พวกเขาแบ่งปันความหวังและความปรารถนา อุปสรรคที่พวกเขาต้องเผชิญ รวมถึงเรื่องราวการต่อสู้ที่ผ่านมาของพวกเขากับฉัน หลายคนมีเรื่องราวและปัญหาในชีวิตที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับความยากลำบากทางเศรษฐกิจ แต่ฉันพบว่าพวกเขาเป็นคนคิดบวก เด็ดเดี่ยว และมีความตั้งใจอันแรงกล้าแม้จะเผชิญความยากลำบากต่างๆ ในชีวิตก็ตาม

ในนิทรรศการนี้ ฉันนำเสนอภาพถ่ายที่เลือกสรรจากประสบการณ์ของฉันกับคนงานเหล่านี้ ภายในแต่ละห้องมีสิ่งของและวัสดุที่แสดงในภาพถ่ายเหล่านี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตการทำงานของพวกเขา วัตถุเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นจริงของการต่อสู้ดิ้นรน ความเป็นรูปธรรมของประสบการณ์ชีวิตของพวกเขา ด้วยการวางวัตถุเหล่านี้ไว้ในพื้นที่แกลลอรี่ ฉันต้องการสื่อสารกับผู้ชมว่าเรื่องราวของพวกเขามีจริงและสมควรที่จะได้เห็น

"IKIRO - BE ALIVE"

A solo exhibition by
Takahiro Suzuki
29 March - 6 April 2024

Presented by Head High Second Floor.

"IKIRO" is a Japanese word that can be translated into English as "Be alive".

"IKIRO" was the word that the artist Takahiro Suzuki, born 1967 in Osaka, started writing in his diary when he was about 20 years old. It was the word that gave him courage and gave his life meaning to this day. His artistic career began in Tokyo and he created paintings, sculptures, installations and performances. But he never really stopped writing "IKIRO" because he realised how much energy there was in the word and the simple act of writing it.

1996 his first encounter with New York to test his possibilities as an artist there. The first "IKIRO" performance took place in New York. Since then, the artist has written "IKIRO" in very different places all over the world. He met many people of countless ethnicities, not only in the big cities, but also in the most remote areas of the world and this was an incredible enrichment for the artist. In a world that is increasingly coming apart at the seams and the latest technologies, such as AI, will fundamentally change human coexistence, the artist wants to return to the feelings he had as a young man and to the word "IKIRO", which gave him so much strength and is just as important to the artist today as it was then.

"IKIRO - BE ALIVE"

นิทรรศการเดี่ยวโดย
ทากาฮิโร ซูซูกิ
จัดแสดง 29 มีนาคม - 6 เมษายน 2567

นำเสนอ โดย Head High Second Floor.

"อิคิโระ" เป็นคำภาษาญี่ปุ่นแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า

"มีชีวิตอยู่" ทาคาฮิโระ ซูซูกิ ศิลปินญี่ปุ่นผู้เกิดในปี พ.ศ. 2510 ในเมืองโอซาก้า เขาเริ่มเขียนคำว่า "อิคิโระ" ลงในสมุดบันทึกของเขาตั้งแต่อายุประมาณ 20 ปี มันเป็นคำที่ทำให้เขาเกิดความกล้าหาญและทำให้ชีวิตของเขามีความหมายมาจนถึงทุกวันนี้ อาชีพทางศิลปะของเขาเริ่มต้นที่โตเกียว เขาได้สร้างสรรค์ภาพวาด ประติมากรรม ศิลปะจัดวาง และศิลปะการแสดง แต่เขาก็ไม่เคยหยุดเขียนคำว่า "อิคิโระ"เลย เพราะเขาตระหนักได้ว่าคำนั้นมีพลังมากมายเพียงใด ด้วยท่วงท่าการเขียนคำที่เรียบง่ายนี้

ปี พ.ศ. 2539 คือปีที่เขาได้ปรากฏตัวครั้งแรกในนิวยอร์กเพื่อทดสอบความเป็นไปได้ในฐานะศิลปินที่นั่น การแสดง "อิคิโระ" ครั้งแรกจัดขึ้นที่นิวยอร์ก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ศิลปินก็ได้เขียนคำว่า "อิคิโระ" ในที่ต่างๆ ทั่วโลก เขาได้พบกับผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาตินับไม่ถ้วน ไม่เพียงแต่ในเมืองใหญ่เท่านั้น แต่ยังอยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่สุดของโลกด้วย และนี่คือสิ่งที่มีคุณค่าอย่างอัศจรรย์สำหรับศิลปิน ในโลกที่แยกออกจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ และเทคโนโลยีล่าสุด เช่นเอไอจะเปลี่ยนพื้นฐานการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ศิลปินต้องการกลับไปสู่ความรู้สึกที่เขามีมาเมื่อสมัยเป็นหนุ่ม และกับคำว่า "อิคิโระ" ที่ให้ เขามีความแข็งแกร่งมากและมีความสำคัญต่อศิลปินในปัจจุบันเช่นเดียวกับในตอนนั้น

 

"Lily Ovary"

A solo exhibition by
Kosit Juntaratip
14 February 2024

Presented by Head High Second Floor.

Kosit Juntaratip, born 1971, lives and works in Chiang Mai. He is professor at Multidisciplinary Art Division, Visual Arts Departmnent, Faculty of Fine Arts, Chiang Mai University.

Thirty years ago, on 14 February 1994, the plastic doll Lily Ovary and Kosit Juntaratip got married in the Chiang Mai First Church. An incredible and well thought-out act. The artist Kosit Juntaratip wrote nothing less than history, not only in the Thai art scene.

Kosit’s artistic work “Lily Ovary (14 February 1994)” - started as a critique of our plastic and consumer society and as a reflection on our own lives, life in general and the world as a whole. This is still the basic concept.

That was 30 years ago now and reason enough today to celebrate life and a unique relationship.

Lily Ovary is still present in the artist's life, even though she has long since moved to another place and is hopefully happy.

Kosit was able to grow and develop with Lily Ovary and she will always remain a part of his life.

In the best case, this also works in interpersonal relationships. But we all know the feeling of loneliness and abandonment and have suffered from a broken heart. And not all the people we once loved remain a part of our lives forever.

Can a doll or, as is already technically possible today, an AI-generated partner replace another person? I think for some, yes indeed. This is shown not least by reports of people who have consciously decided to live with one or more dolls, whether after failed or disappointed love or for whatever reason

The artwork “Lily Ovary (14 February 1994)” is also intended to make people think about the fact that love is boundless and should be possible far beyond any social convention. If there were no such concepts as normal and abnormal, the world might be a better place.

This artist has a vision, stands by what he thinks and says and inspires many young people who are still looking for their place in life.

That cannot be valued highly enough.

"ลิลี่ โอวาริ"

นิทรรศการเดี่ยวโดย
โฆษิต จันทรทิพย์
จัดแสดง 14 กุมภาพันธ์ 2567

นำเสนอ โดย Head High Second Floor.

โฆษิต จันทรทิพย์ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2514 พำนักและทำงานที่เชียงใหม่ เป็นอาจารย์ประจำภาควิชาศิลปะสาขาวิชาทัศนศิลป์ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ย้อนไปเมื่อสามสิบปีก่อน วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2537

โฆษิต จันทรทิพย์ และ ลิลี่ โอวารี ตุ๊กตายางสาวได้เข้าสู่งานวิวาห์ ณ. คริสตจักรแห่งแรกในเชียงใหม่ นั่นถือเป็นความคิดอันสุดล้ำ  เพราะโฆษิต จันทรทิพย์ ได้ปักหมุดหมายไว้ให้กับประวัติศาสตร์วงการศิลปะของประเทศไทยนับจากบัดนั้น

ในวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 นี้ขอเชิญทุกท่านร่วมงานฉลองครบรอบแต่งงาน 30 ปีที่ เฮดไฮด์เซ็กเคินด์ฟลอร์ (Head High Second Floor)

โฆษิตกับงานศิลปะของเขาลิลี่ โอวาริ (14 กุมภาพันธ์ .. 2537)” แนวคิดหลักเริ่มต้นจากการวิพากษ์วิจารณ์สังคมพลาสติกในยุคบริโภคนิยม และเป็นการสะท้อนชีวิตทั่วไปของเราปุถุชนและต่อคนทั้งโลก  นั่นคือเมื่อ 30 ปีที่แล้ว และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วที่จะเฉลิมฉลองชีวิตและความสัมพันธ์สุดแสนพิเศษในวันนี้

ลิลี่ โอวาริ ยังคงวนเวียนอยู่ในชีวิตของศิลปินผู้นี้ แม้ว่าเธอจะย้ายไปที่อื่นนานแล้ว  หวังใจว่าเธอจะยังคงมีความสุขในชีวิต

โฆษิตยังคงใช้ชีวิต พัฒนา และเติบโตไปพร้อมกับลิลี่ โอวาริ เธอจะยังคงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเขาตลอดไป

การได้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองนั้นก็เป็นทางเลือกที่ดี ทว่าเราทุกคนต่างก็รู้ดีถึงความรู้สึกเหงาและการถูกทอดทิ้ง และต้องทนทุกข์ทรมานจากใจที่แตกสลาย และไม่ใช่ทุกคนที่เรารักจะยังคงอยู่ในชีวิตของเราตลอดไป แต่ในแง่เทคนิคแล้วตุ๊กตากลับสามารถเป็นเช่นนั้นได้

ในทุกวันนี้ คู่ชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นจากเอไอจะเข้ามาแทนที่มนุษย์ได้หรือไม่นั้นข้าพเจ้าคิดว่าสำหรับบางคนนั้นคำตอบคือ  “ใช่” อย่างไม่ต้องสงสัย  นี่เป็นสิ่งที่เราได้รับรู้อยู่เนืองๆจากรายงานข่าวของผู้คนมีสติสัมปชัญญะที่ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกับตุ๊กตาตั้งแต่หนึ่งตัวขึ้นไป  ไม่ว่าเพราะเหตุความรักที่ล้มเหลวหรือผิดหวังหรือจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม

โฆษิตกับงานศิลปะของเขา “ลิลี่ โอวาริ (14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537)” มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้คนตระหนักรู้ถึงความจริงที่ว่าความรักนั้นไม่มีขีดจำกัด และเราควรก้าวข้ามแบบแผนทางสังคมใดๆ  โลกอาจจะดีกว่านี้ถ้าหากไม่มีข้อจำกัดแบ่งแยกเรื่องความผิดแผกแตกต่าง ศิลปินผู้นี้มีวิสัยทัศน์ ยืนหยัดในสิ่งที่เขาคิดและพูด และเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่ยังคงมองหาที่ๆหนึ่งในการให้กับชีวิตที่มีคุณค่าเกินกว่าจะประเมินได้

2023

"Something Like Happy"

A solo exhibition by
Pawarest (Doe) Choksean
23 December - 3 February 2024

Presented by Head High Second Floor.

Pawarest (Doe) Choksean, born 1970, lives and works in Bangkok. At a young age he studied sculpture at the Poh Chang Academy of Arts.

He then spent most of his working life in the advertising industry, a job that helped him earn a living but did not bring fulfilment and satisfaction. The passion for art was too great and could not really be reconciled with his daily work.

Doe dared to make a new start, jumped into the deep end and almost fell into the abyss. Personal crises and world-weariness accompanied his life, but art saved him.

He began painting late in life, not bound by any school of painting or academic standards. Doe was free of all that. His gaze is unobstructed and his paintings come from the depth of his being. They reflect - despite personal misfortunes - the artist's connection with the world around him, his search for meaning, for harmony, and love.

This is what makes Doe’s paintings so unique and universal at the same time. Role models in art history and contemporary painting are hard to spot. Doe is Doe. He has invented himself, and that is a good thing.

His sources of inspiration are likely to be diverse. Internet and social media might be important, but above all, are his surroundings, which he roams through and perceives with an alert eye. The depiction of figures, their surroundings and interior in his paintings are not so far removed from photography. They resemble snapshots that could have been taken from a film still.

Strong, but also very delicate acrylic colours are applied to the canvases. Doe’s pictures actually have nothing dark, they show a happiness that is fragile and wants to be found anew every day. The figures are not really portrayed, but show themselves in all their ambivalence and search. Doe is concerned with the core, with the essential.

Today, Doe is admired by collectors and his paintings can be found in private collections in Thailand, throughout Asia and overseas. Renowned galleries in Bangkok have and will exhibit Doe in the future.

Something like happy“ seems possible.

"Something Like Happy"

นิทรรศการเดี่ยวโดย
ปวเรศวร์ (โด้) โชคแสน
จัดแสดง 23 ธันวาคม – 3 กุมภาพันธ์ 2567

นำเสนอ โดย Head High Second Floor.

ปวเรศวร์ (โด้) โชคแสน เกิดปี 1970 อาศัยและทำงานในกรุงเทพฯ เมื่อช่วงวัยรุ่นเขาศึกษาประติมากรรมที่สถาบันเพาะช่างจากนั้นเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตการทำงานในสายวงการโฆษณา  ซึ่งเป็นงานที่ช่วยให้เขาหาเลี้ยงชีพได้แต่ก็ไม่ได้เติมเต็มแรงปราถนาส่วนลึกของเขาความหลงใหลในงานศิลปะของเขานั้นเอ่อล้นเสียจนไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับงานประจำวันของเขาได้

โด้รวบรวมความกล้า เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทว่ากลับกระโจนและถลำลงลึกจนเกือบตกเหวทั้งวิกฤตส่วนตัวและความเหนื่อยล้าของโลกต่างถาโถมเข้าสู่ชีวิตของเขา แต่ศิลปะช่วยชีวิตเขาไว้ได้

เขาเริ่มวาดภาพในช่วงปลายวัยกลางคนของชีวิตโดยไม่ยึดติดกับโรงเรียนศิลปะหรือมาตรฐานทางวิชาการใดๆ  โด้เป็นอิสระจากสิ่งเหล่านั้น วิสัยทัศน์ของเขาไม่มีขอบเขตขวางกั้น ภาพวาดของเขาออกมาจากส่วนลึกในจิตใจ   ถึงแม้จะป็นเรื่องที่ไม่สมหวังในชีวิตก็ตาม มันได้สะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างศิลปินกับโลกรอบตัว การค้นหาความหมายระหว่างความสมดุลและความรักนี่คือสิ่งที่ทำให้ภาพวาดของโด้มีเอกลักษณ์และมีความเป็นสากลในเวลาเดียวกัน

ในประวัติศาสตร์ศิลปะและจิตรกรรมร่วมสมัยการหาต้นแบบนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยาก และโด้มีแบบฉบับของเขาเอง นับว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่มาและแรงบันดาลใจในการสร้างผลงานของเขานั้นมีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย แต่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดคือสิ่งแวดล้อมที่เขาได้ประสบและรับรู้ด้วยสายตาอันกระตือรือร้น ภาพวาดบุคคล สิ่งแวดล้อม และภาพภายในสิ่งก่อสร้างของเขานั้นไม่ห่างไกลจากกับภาพถ่ายนักมีลักษณะคล้ายกับภาพนิ่งจากภาพยนตร์

เทคนิคการใช้สีอะครีลิคบนผืนผ้าใบของโด้นั้นเเข็งแกร่งทว่าละเอียดอ่อน  รูปภาพของเขานั้นที่จริงก็ไม่มีอะไรมืดมน มันแสดงถึงความสุขอันเปราะบางที่ถวิลหาสิ่งใหม่ในทุกวัน ภาพคนเหล่านี้ไม่ได้แสดงออกอย่างที่เห็นจริงๆ  แต่แลดูมีความสับสนและเฝ้าค้นหาถึงบางสิ่ง งานของโด้เข้าถึงแก่นแท้ในสิ่งเหล่านั้น

ปัจจุบันงานของโด้ได้รับเสียงชื่นชมจากนักสะสม งานศิลปะ ภาพวาดของเขาสามารถพบได้ในงานสะสมส่วนตัวในประเทศไทย ทั่วทั้งเอเชียต่างประเทศ และแกลเลอรี่ที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพฯ และงานแสดงของเขาที่จะมีขึ้นในอนาคต

“บางสิ่งที่คล้ายกับความสุข” ดูเหมือนอะไรที่เป็นไปได้

"Home Help"

A solo exhibition by
Baphoboy
25 November – 16 December, 2023

Presented by Head High Second Floor.

Baphoboy struggles with his demons, inner and outer, facing them in his typical artistic way. Unvarnished, open and honest. This young artist knows the dark and knows what existential crises are.

At the same time, the artist's works are beautiful to look at, they are predominantly colourful and bubbling over with his wealth of ideas. The whole tragedy only reveals itself on closer inspection of his paintings and sculptures.

This artist is not alone, he speaks for many of his generation. But not only for them. And not only in Thailand.

The home of our childhood and youth can be paradise but also hell on earth and has shaped us all in different ways.

Images and voices from this time accompany us throughout our lives and can become nightmares. We look for friends and allies, people who understand us. Sometimes professional help is needed. We all have to learn to keep our demons in check and to live with them, otherwise we are lost.

Thank you Baphoboy for this very personal exhibition and for letting us see so deeply into your thoughts and soul.

 

Truly there is no wise man
Who does not know the dark
Which quietly and inescapably
Separates him from everything else.

 

from the poem "In the Fog" by Hermann Hesse

"Home Help"

นิทรรศการเดี่ยวโดย
บัฟเฟอร์บอย
จัดแสดง 25 พฤศจิกายน – 16 ธันวาคม 2566

นำเสนอ โดย Head High Second Floor.

บัฟเฟอร์บอยกำลังต่อสู้กับปีศาจที่อยู่ภายนอกและ
ภายในตัวตนเขา ศิลปินผู้เผชิญหน้ากับมันในแบบฉบับของเขาเอง ไร้จริตแอบแฝง เปิดกว้างและซื่อสัตย์กับตัวเขาเอง ศิลปินหนุ่มผู้นี้รู้จักความมืดมนและรู้ว่าวิกฤติตัวตนที่เกิดขึ้นกับเขาคืออะไร ในขณะเดียวกัน ศิลปะของเขาก็ดูงดงาม เต็มไปด้วยสีสันและเต็มไปด้วยแนวคิดมากมาย โศกนาฏกรรมทั้งหมดจะเผยให้เห็นเฉพาะเมื่อเข้าไปสำรวจงานศิลปะของเขาอย่างใกล้ชิดเท่านั้น

ศิลปินผู้นี้ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว เขาพูดแทนคนหลายรุ่นในรุ่นของเขา ไม่ใช่แค่สำหรับพวกเขาและไม่ใช่แค่ในประเทศไทยเท่านั้น บ้านในวัยเด็กและเยาวชนของเราสามารถเป็นได้ทั้งสวรรค์และนรกบนดิน และมันได้หล่อหลอมเราทุกคนในทางที่แตกต่างกันไป
ภาพและเสียงจากเวลานี้จะติดตาม หลอกหลอนและอาจกลายเป็นฝันร้ายของเราไปตลอดชีวิต
เราเฝ้ามองหาเพื่อนและมิตรภาพ คนที่เข้าใจและ
บางครั้งเราก็ต้องการคนที่เชี่ยวชาญในการช่วยเหลือ
ทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมปีศาจและเรียนที่จะอยู่กับมัน มิเช่นนั้นแล้วเราก็อาจจะหลงทาง

ขอขอบคุณบัฟเฟอร์บอยสำหรับการนิทรรศการส่วนตัวครั้งนี้ และเพื่อให้เราได้เห็นความคิดและจิตวิญญาณของคุณอย่างลึกซึ้ง

แท้จริงผู้ใดที่ฉลาดล้ำนั้นหามีไม่
ใครบ้างมิรู้จักความมืดมิด
ที่ซึ่งเงียบสงัดและไร้ทางออก
ที่ซึ่งแยกเขาออกจากทุกสิ่ง

จากบทกวี "In the Fog" ของ Hermann Hesse

"HAUS"

A solo exhibition by
Wanlop Hansunthai
July 15 – August 26, 2023

Presented by Head High Second Floor.

The changing social context influences the everyday life of every diaspora. The exchange of conversations, telling stories from the old homeland and reflecting on cultural roots, helps the diaspora to find their way far away from their original home. Observing the majority's view of events at a particular time in a foreign country is the key factor in cognitive perception and finding one's way in a new environment. The incorporation and preservation of tradition and ethnic identity, or even translocation, are crucial for adaptation and survival within a territory that has always been linked to the homeland through historical, economic and political factors. Consolidation of food culture shows an effort not only to live in accordance with the new environment, but also to enrich it and thus contribute to the cultural diversity of a territory or country. It is about "creating a space" that keeps alive the longing for the taste of the old homeland and awakens memories of the good old days. In this exhibition, the audience is introduced to "diasporic memory" and confronted with questions about cultural diversity and the oppression of an ethnic minority.

"HAUS"

นิทรรศการเดี่ยวโดย
วัลลภ หาญสันเทียะ
จัดแสดง 15 กรกฎาคม – 26 สิงหาคม 2566

นำเสนอ โดย Head High Second Floor.

บริบทที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคมส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การแลกเปลี่ยนบทสนทนา เสมือนเป็นเครื่องมือช่วยสื่อสารเรื่องราวการสะท้อนรากทางวัฒนธรรมเดิมบนพื้นที่ทางวัฒนธรรมอันแตกต่างออกไปของคนพลัดถิ่น และการสำรวจมุมมองต่อสถานการณ์ ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง จึงเป็นตัวแปรสำคัญของการรับรู้เชิงความคิดในมิติใหม่ การสอดแทรกกลิ่นอายของความเป็นพื้นเพเดิมผ่านอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ หรือแม้แต่การเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน ถือเป็นเรื่องจำเป็นต่อการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด
ความหลากหลายทางวัฒนธรรมในพื้นที่มีจุดเชื่อมโยงกันทางประวัติศาสตร์ การค้าขาย เศรษฐกิจ การเมือง และอุตสาหกรรม ล้วนแล้วแต่เป็นรอยต่อของกลุ่มคนพลัดถิ่นทั้งสิ้น รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมทางอาหาร แสดงให้เห็นถึงการ “สร้างพื้นที่” ท่ามกลางบริบทข้ามชาติ ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมใหม่ คล้ายกับเป็นการเติมเต็มรสชาติที่โหยหาจากบ้านเกิด ชวนให้ย้อนรำลึกนึกถึงภาพจำในครั้งวันวาน
การจำลอง “ความทรงจำของคนพลัดถิ่น” (diasporic memory) ให้กับคนพลัดถิ่นหรือแม้กระทั่งการนำพาผู้ชมเข้าไปรวมสัมผัสถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมอันถูกทับซ้อน ถือว่าเป็นการสร้างประสบการณ์การรับรู้ในมิติ ให้ชวนคิดและตั้งคำถามต่อความเหลื่อมล้ำของสถานภาพทางสังคม

BangLee Everything Everywhere

A solo exhibition by
Anuwat Apimukmongkon
March 18 – April 29, 2023

Presented by Head High Second Floor.

This world is Aniccam (Impermanence), nothing is certain, it changes, disappears, and it is not eternal.

o   This world is Dukkha (Subject to suffering). Suffering is the substance of all things, cannot survive in its original state, it’s variable by natural such as wanting, not wanting, wanting to have, not wanting to have, wanting to be, not wanting to be.

o   This world is Anatta (Non-self), cannot be grasped, unable to hold, unable to possess and cannot be controlled, devoid of true identity.

While humans are actively trying to explore and seek out the truth of the multiverse for scientific discovery, to find answers about the origins of the world, to disprove the theory of the old universe, or to discover the possibility of the existence of the new universe, it could be one reason or any other, but if you take a glance carefully, it may be that one reason: we explore and seek out other universes because the world and the original universe that we are in have been ruined, destroyed, reproduced, and accumulated, and that is too much to heal. The existence of a multiverse or other parallel world appears to be a fantasy, a salvation hope for us to escape and hide from the unhappy world that we have all created by forgetting that everything in this world is Aniccam, Dukkha, and Anatta.

"BangLee Everything Everywhere" is a compilation of Bang Lee's multiverses (the medium of Anuwat Apimukmongkol) in the world of happiness, suffering, reality, and dreams. It will take you to explore the body of BangLee that has transformed into everything everywhere in the world of other artists and a new universe. Who would Bang Lee be if she were someone else? Who would the other person be without their identity? If we, as humans, had never existed in this universe, would it be better or worse? At the same time, if we happened to exist in another universe, would it be better or worse? To find those answers, it may require us to travel through other universes. And when we pull ourselves back into the universe we live in and look around again, will we think it's a spectacular place for us to live? or should we accept the reality that it is not and correct our mistakes to keep ourselves and others happy, or should we continue to improve them from the past for a better present universe, until we and this universe are extinguished, or should we find a new universe to embark on another journey...

BangLee Everything Everywhere

นิทรรศการเดี่ยวโดย
อนุวัฒน์ อภิมุขมงคล
จัดแสดง 18 มีนาคม – 29 เมษายน 2566

นำเสนอ โดย Head High Second Floor.

โลกนี้ล้วนเป็นอนิจจัง (อนิจฺจํ: Aniccam: Impermanence) ไม่มีสิ่งใดแน่นอน ผันแปร เปลี่ยนแปลง และสูญไป ไม่นิรันดร์

o   โลกนี้ล้วนเป็นทุกขัง (ทุกฺขํ: Dukkha: subject to suffering) ความทุกข์เป็นสสารของทุกสรรพสิ่ง ดำรงอยู่สภาพเดิมไม่ได้ เป็นไปด้วยธรรมชาติ และความอยากมี ไม่อยากมี อยากได้ ไม่อยากได้ อยากเป็น ไม่อยากเป็น

o   โลกนี้ล้วนเป็นอนัตตา (อนตฺตา: Anatta: non-self) ไม่สามารถยึดได้ ไม่สามารถยื้อได้ ไม่สามารถครอบครองได้ และไม่สามารถบังคับควบคุมได้ ไม่มีซึ่งตัวตนอันแท้จริง

ในขณะที่มนุษย์กำลังพยายามสำรวจและค้นคว้าความจริงของพหุจักรวาล เพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เพื่อหาคำตอบของการอุบัติของโลก เพื่อล้มล้างทฤษฎีจักรวาลเก่า หรือเพื่อหาความเป็นไปได้ของการดำรงอยู่ในจักรวาลใหม่ อาจเป็นเหตุผลข้อใดข้อหนึ่ง หรืออาจเป็นเหตุผลข้ออื่น แต่หากตรึกตรองดูให้ดี อาจเป็นเหตุผลที่ว่า เราค้นหาและจินตนาการถึงจักรวาลอื่น เพราะโลกและจักรวาลเดิมที่เราอยู่นั้น มนุษย์อย่างเราได้ย่ำยี ทำลาย ผลิตซ้ำและสั่งสมความ ป่วยไข้ เกินกว่าจะเยียวยารักษาเสียแล้ว การมีพหุจักรวาลหรือโลกคู่ขนานอื่นจึงดูจะเป็นความฝัน ความหวังแห่งทางรอด ให้เราได้หลีกหนี อำพรางและซ่อนเร้นจากโลกไร้ความสุขที่เราต่างมีส่วนสร้างขึ้นมา  โดยหลงลืมไปว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

“BangLee Everything Everywhere” จึงเป็นการรวบรวมพหุจักรวาลของบังลี (ร่างทรงของอนุวัฒน์ อภิมุขมงคล) ทั้งในโลกของความสุข ความทุกข์ ความจริง และความฝัน เพื่อพาไปสำรวจร่างของบังลี ที่ผันแปรเปลี่ยนรูปเป็นทุกสิ่งอยู่ทุกๆที่ในโลกของศิลปินอื่นและจักรวาลใหม่ บังลีจะเป็นใครเมื่อเป็นคนอื่น? คนอื่นจะเป็นใครเมื่อไร้ตัวตน? หากจักรวาลนี้ไม่มีเรา มันจะดีขึ้นหรือแย่ลง ขณะเดียวกันหากเราไปอยู่จักรวาลอื่น มันดีขึ้น หรือแย่ลง? การหาคำตอบอาจต้องเดินทางไปในจักรวาลสมมติ เมื่อเราดึงตัวเองกลับมาในโลกและจักรวาลเดิมและมองไปรอบๆอีกครั้ง เราจะคิดว่ามันน่าอยู่สำหรับเราอีกหรือไม่ หรือเราควรยอมรับและแก้ไขความผิดพลาดเพื่อประคองตัวเองรวมถึงผู้อื่นให้มีความสุข ปรับปรุงมันให้ดีกว่าที่ผ่านมา ในจักรวาลปัจจุบันนี้ต่อไป จนกว่าตัวเราและจักรวาลนี้จะดับสิ้น หรือค้นพบจักรวาลใหม่สำหรับการเดินทางอีกครั้ง...

NACKTE WAHRHEIT (NAKED TRUTH)

A solo exhibition by
Sophirat Muangkum
28.01.23 - 11.03.23

Presented by Head High Second Floor.

Sophirat Muangkum (1983) Thai artist lives and works based in Bangkok.

Sophirat is a self-taught artist and currently one of Thailand’s leading nude photographers. She had spent 3 years working as a photographer in Germany prior to moving back home in 2013 where she started to exhibit her works and established herself in the Thailand art scene.

Sophirat is interested in human thought. She is often inspired by stories of people,nature,animals, subculture and thesituation of Thai society. She answers her questions thru her works about what she was interested in at that time.

Since 2019, she starts join ‘artist-in-residence’ program because she would like to has an opportunity to research and collaborate with local people about what do they think about their own body and ask them to use their own body to talk about situation at that time such as politics, nature, pollution, subculture, beauty standard etc. Besides, she tries to empower people to start loving their body and respect diversity.

Her works have been exhibited, among the others, at Bangkok Art & Cultural Center (BACC), Photo Fair Thailand at BITEC (Bangkok), Midnice Gallery (Bangkok), Radisson Blu (Bangkok), Objectifs-Centre for Photography and Film(Singapore), Rebel Art Space (Bangkok), Innerspace (LA,USA). Her solo exhibition has been exhibited at most gallery, also a part of ‘Galleries night Bangkok’.

Beside being an artist, she is a freelance curator who is interested in emerging artists. Sophirat was a curator for ‘Phayao Photography Biennale 2021-2022’.

Sophirat also works for commercial projects and publications. Her images have been featured in VOGUE Italia, ThaiPBS, Play Magazine Thailand, Zoomaa (Norway), KALTBLUT Magazine (Germany),BOOMER Magazine (England) and Blast Magazine Thailand. She is also a guest artist at many photography workshops and talks.

NACKTE WAHRHEIT (ความจริงอันเปลือยเปล่า)

นิทรรศการเดี่ยวโดย
โศภิรัตน์ ม่วงคำ
จัดแสดง 28 มกราคม – 11 มีนาคม 2566

นำเสนอ โดย Head High Second Floor.

โศภิรัตน์ม่วงคํา เกิดใน พ.ศ.2526

โศภิรัตน์เรียนรู้การถายภาพด้วยตนเองและเป็นหนึ่งในช่างภาพนู้ดอันดับต้นๆของประเทศไทย เธอเคยทํางานเป็นช่างภาพในประเทศเยอรมนี 3 ปีก่อนทีจะกลับมาในเมืองไทยในปี 2556 ในช่วงเวลานี้เอง โศภิรัตน์ ได้ค้นคว้าแง่มุมทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับร่างกายมนุษย์และภาพนู้ด

โศภิรัตน์สนใจในความเป็นมนุษย์ เธอมักได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวของผู้คน ธรรมชาติ สัตว์ต่างๆ ไปจนถึงวัฒนธรรมย่อย และสถานการณ์ในสังคมไทย และค้นหาคำตอบของชีวิตผ่านผลงานที่เธอทำในแต่ละช่วงเวลา

ในปี 2562 เธอได้เข้าร่วมในโครงการศิลปินพำนักด้วยความต้องการทำการค้นคว้าและร่วมงานกับชุมชนท้องถิ่น เพื่อค้นหาว่าพวกเขาคิดอย่างไรเกี่ยวกับร่างกายตัวเอง และนำร่างกายของพวกเขามาบอกเล่าเรื่องราวที่พวกเขาสนใจ เช่น การเมือง ธรรมชาติ มลพิษ วัฒนธรรมย่อย หรือมาตรฐานความงาม ฯลฯ นอกเหนือจากนี้เธอยังสนับสนุนเรื่องการรักร่างกายตัวเองและการเคารพความหลากหลายในสังคม

ผลงานของโศภิรัตน์ไม่ใช่แค่เพียงภาพถ่ายนู้ดที่เปลื้องเปลือยผิวหนังและร่างกายของมนุษย์ให้เห็นแต่เพียงเท่านั้น หากแต่ยังเป็นการผสมผสานความเป็นศิลปะ แนวคิด และศิลปะแห่งการดึงตัวตนของผู้คนออกมา ผลงานหลายชิ้นของเธอแสดงออกถึงตัวตนอันหลายหลากของนายและนางแบบเหล่านั้น และบ่งบอกเรื่องราวที่ซ่อนเร้นของพวกเขาผ่านผิวหนัง ท่วงท่า และแสงสีอันซับซ้อนละเอียดอ่อนของงานภาพถ่าย

นอกเหนือจากการเป็นศิลปิน เธอยังเป็นคิวเรเตอร์อิสระที่มีความสนใจในศิลปินรุ่นใหม่ เธอได้ทำหน้าที่คิวเรเตอร์ในเทศการภาพถ่ายพะเยา ‘Phayao Photography Biennale 2021-2022’

ผลงานของเธอได้รับการจัดแสดงที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) ที่งาน Photo Fair Thailand (ไบเทค) ที่ Objectifs-Centre for Photography and Film (สิงคโปร์) ที่ MOCA Museum of Contemporary Art (กรุงเทพฯ) ที่ Rebel Art Space (กรุงเทพฯ) ที่แกลอรี่ Innerspace (สหรัฐอเมริกา) รวมถึงที่แกลอรี่ Most (ในช่วงเทศกาล Galleries Night ที่กรุงเทพฯ) นอกจากในช่อง ThaiPBS แล้ว ผลงานภาพถ่ายของโศภิรัตน์ยังได้รับการนำไปตี-พิมพ์ในนิตยสาร VOGUE Italia ตลอดจนนิตยสารอังกฤษ BOOMER และนิตยสารออนไลน์ของนอร์เวย์ Zoomaa รวมถึงนิตยสารเยอรมัน KALTBLUT และนิตยสารไทย Blast อีกด้วย ปัจจุบันโศภิรัตน์เป็นวิทยากรรับเชิญในงาน เสวนาทั้งในองค์กรเอกชนหรือบรรยายในมหาวิทยาลัยและเวิร์กชอปด้านการถ่าย ภาพต่างๆมากมาย

2022

THE SHELTERING SKY

A solo exhibition by
David Kwan Shon
23.12.22 - 21.01.23

Presented by Head High Second Floor.

Opening Reception 18:00 Friday 23 December, starting 18 pm, in presence of the artist.

David Kwan Shon was born in Honolulu, Hawaii, in 1954. His studies included Liberal Arts at Hawaii Loa College in Kaneohe, Hawaii, with further emphasis on Visual Arts and Theatrecraft at Foothill College in Los Altos Hills, California.

Artist Statement
The artist observes and reflects. Mr. Shon presents a photo narrative in multi-media that spans four decades of observation and reflection.
Chapter 1 – “The Staircase and Other Human Aspects”
Canon laser prints on paper from Polaroids.

Chapter 2 – “Dark Room”
Black and White images from Kodak negative film.
Silver gelatin and Epson prints on Canvas.

Chapter 3 – “Drift or Lay at Anchor”
A nautical term. When sailing at night or in a storm, one may either drift on the current or drop a net anchor to steady the course.
Epson prints on canvas.

The title of this exhibition is borrowed from the novel by Paul Bowles published in 1949

THE SHELTERING SKY

นิทรรศการเดี่ยวโดย
เดวิด ควาน ชอน
จัดแสดง 23 ธันวาคม 2565 – 21 มกราคม 2566

นำเสนอ โดย Head High Second Floor.

ประวัติศิลปิน
เดวิด ควาน ชอน เกิดที่โฮโนรูรู ฮาวาย ปี ค.ศ. 1954 เขาได้เรียนวิชาศิลปศาสตร์ที่ วิทยาลัย ฮาวาย โลอาร์ ใน คาเนโอเฮ และศึกษาต่อในวิชาทัศนศิลป์ และการละคร ที่วิทยาลัย ฟุตฮิลล์ ใน ลอส ออลโทสฮิลส์ เคลิฟอร์เนีย

ถ้อยคำแถลงของศิลปิน
ศิลปินได้เฝ้าสังเกตการณ์และสะท้อนสิ่งต่างๆออกมา
ชอนได้นำเสนอรูปถ่ายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เขาได้สังเกตเห็นสิ่งที่พบเจอกว่าสี่ทศวรรษ
สะท้อนมาในรูปถ่ายผ่านสื่ออันหลากหลาย

รายละเอียดนิทรรศการ

บทที่ 1 “ขั้นบันไดและมุมมองของมนุษย์ผู้อื่น”
พิมพ์เลเซอร์บนกระดาษจากกล้องโพลารอยด์

บทที่ 2 “ห้องมืด”
ภาพถ่ายขาวดำจากฟิล์มในเนกาทีฟ
เจลาตินสีเงิน พิมพ์บนผ้าใบ

บทที่ 3 “ลอยหรือทิ้งสมอเรือดี”
ในช่วงเวลาของการเดินเรือ เมื่อล่องเรือในตอนกลางคืนหรือในยามเกิดพายุ บางคนก็เลือกที่จะลอยสมอเรือหรือทิ้งสมอเรือ เพื่อให้เรือหยุดนิ่ง
พิมพ์บนผ้าใบ

ภาคผนวก
ชื่อนิทรรศการนี้หยิบยืมจากชื่อนิยายของ
พอล โบว์เลส ตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1949

SPIRITUAL ANCHOR

A solo exhibition by
Subannakrit Krikum
05.11.2022 – 10.12.2022

Presented by Head High Second Floor.

Opening Reception 5 Novenber 2022, starting 18 pm, in presence of the artist.

"Spiritual Anchor" - the paintings in this series are inspired by the small joys that occur in most people's everyday lives. These happen to us relatively often and, as if by chance, quiet our minds and give one the strength to cope with life. Small joys can be, for example, a delicious meal, an outing or an activity that one enjoys.

Subannakrit has put these simple occurrences into a form similar to the depictions of god figures in most religions.

Imagine a new god born out of the ordinary and the old with the help of symbols and technical and electronic household devices that everyone knows and that are easily accessible.
What about your "god"?

SPIRITUAL ANCHOR

นิทรรศการเดี่ยวโดย
สุบรรณกริช ไกรคุ้ม
จัดแสดง 5 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2565

นำเสนอ โดย Head High Second Floor.

สุบรรณกริช ไกรคุ้ม
เกิดปี 2537 อาศัยและทำงานในกรุงเทพฯ

ผลงานในชุด "Spiritual Anchor" นี้ได้แรงบันดาลใจจากความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของผู้คน ซึ่งเป็นเรื่องแสนธรรมดาที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้คน ๆ หนึ่งมีแรงที่จะสู้ชีวิตต่อไป เช่น การได้กินของอร่อย การไปที่ยวหรือทำในสิ่งที่ชื่นชอบ
ศิลปินจึงได้เอาเรื่องราวเหล่านี้มาถ่ายทอดในรูปแบบที่คล้ายรูปเคารพของเทพในหลายศาสนา มาจินตนาการใหม่เป็นเทพที่กำเนิดมาจากความธรรมดา ผ่านสัญลักษณ์ และข้าวของเครื่องใช้ที่ทุกคนสามารถพบเห็นได้ทั่วไปและเข้าถึงง่าย แล้วเทพของคุณละ “God of ?”

Landscape of Unity the Indivisible

A photo-painting by
Manit Sriwanichpoom
2022
10.09.2022 – 15.10.2022

Presented by Head High Second Floor.

Opening Reception 10 September 2022, starting 6 pm, in presence of the artist.

Manit Sriwanichpoom, b. 1961, lives and works in Bangkok, is one of Thailand’s pioneering contemporary photographers, and having exhibited worldwide. His social and political works are collected by important museums and private collectors.

In 2004 during Thaksin Shinawatra’s Premiership, the Thai army attacked alleged terrorists at Krue-se mosque in Pattani causing 108 deaths. Six months later another 85 Muslim protestors suffocated to death while under arrest. The people involved in these massacres have never been tried in courts with criminal charge.

This official apathy to pursue justice in these cases has driven photo-artist Manit Sriwanichpoom to extend his medium into the paint box to create large-scale photo-paintings from news photographs of the Krue-se and Tak Bai incidents in Thai newspapers.

Landscape of Unity the Indivisible’ is his first ever series of photo paintings.

ทิวทัศน์แห่งความเป็นหนึ่ง
อันมิอาจแบ่งแยก
(Landscape of Unity the Indivisible)

ภาพถ่ายจิตรกรรมโดย
มานิต ศรีวานิชภูมิ
10 กย. – 15 ตค. 2565

นำเสนอ โดย Head High Second Floor.

มานิต ศรีวานิชภูมิ เกิดเมื่อ พ.ศ. 2504 ใช้ชีวิต และทำงานศิลปะอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในศิลปินถ่ายภาพ ร่วมสมัยที่นำเสนองานในนิทัศการต่างๆมาแล้วทั่วโลก

ปี 2547 - 28 เมษายน ภายใต้รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ทหาร และตำรวจใช้กำลังเข้าปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบในมัสยิดกรือเซะ และพื้นที่ใกล้เคียง จ.ปัตตานี ยังผลให้มีผู้เสียชีวิต 108 คน หลังจากนั้นเพียง 6 เดือน ในวันที่ 25 ตุลาคม ที่ตากใบ ทหารและตำรวจอีกเช่นกันได้ทำการล้อมจับผู้ชุมนุมชาวมุสลิมกว่าพันคน โดยขณะลำเลียงพวกเขาไปยังค่ายทหาร ปรากฏมีผู้เสียชีวิตถึง 85 คน เพราะขาดอากาศหายใจจากการยัดผู้ถูกจับกุมใส่รถบรรทุกทหารจนแน่นเป็นปลากระป๋อง ถึงแม้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะชดเชยเงินเยียวยแก่เหยื่อและครอบครัว แต่ผู้เกี่ยวข้องต่อการก่ออาชญากรรมทั้งสองกรณีกลับยังไม่ต้องรับโทษอันใด และในปี 2567 ที่จะถึงนี้ อายุความคดีอาญาจะครบ 20 ปี นั่นหมายความว่าพวกเขาทั้งหมดจะพ้นผิดทันที

ความไม่แยแสของทางการต่อความอยุติธรรมครั้งนี้ ทำให้ มานิต ศรีวานิชภูมิ ต้องสร้างสรรค์ภาพถ่ายจิตรกรรมขนาดใหญ่เพื่อสื่อสารถึงเหตุฆาตกรรมโดยรัฐครั้งนี้ ด้วยการนำเอาภาพข่าวเหตุการณ์จริงจากหนังสือพิมพ์ที่รายงานสถานการณ์ ณ เวลานั้น มาพิมพ์ขยายเป็นภาพขาว-ดำบนผ้าแคนวาสขนาดใหญ่ แล้วระบายสีแดงและน้ำเงินของธงชาติไทยบนผืนภาพเหล่านั้นอีกที “อยากช็อกและรบกวนจิตใจผู้ชม” มานิตกล่าวถึงสิ่งที่เขาทำ เพื่อทำให้เราเห็นและรู้สึกถึงความรุนแรงนั้นอีกครั้ง

ภาพถ่ายสะท้อนสังคมและการเมืองของเขาได้รับการสะสมโดยพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยหลายแห่งทั้งของไทยและนานาชาติ

“TOUCH ME”- Group show
More than 14 artistic
Will be shown in the exhibition

Curated by Reinhard Kressner
11.06.2022 – 23.07.2022

Presented by Head High Second Floor.

"Touch Me", has a multi-layered meaning in English - it can be translated both literally and figuratively. The literal meaning is "to make physical contact", while when taken figuratively, it can mean so much more. Figuratively, "Touch Me" is the act of invoking sympathy or feeling, bringing out real emotions. These feelings can be enriching sad, or even happy. Within these range of meanings, "Touch Me" perfectly describes this upcoming art exhibition, one that explores these feelings through nudity and eroticism in art.

Nudity reveals, but also conceals and blurs, as it attracts and repeis. The nude is the oldest genre of art and also the most enigmatic. To this day, the nude builds shaky bridges across the deep divide between high art and pornography. Such works know how to be both at the same time: an erotic source of inspiration and work art. It is precisely this tightrope walk that the exhibition "Touch Me" aims to demonstrate. Various aspects of the genre will be presented, including nudity in the context of ideals, self-determination, or homosexuality.

More than 14 artistic positions will be shown in the exhibition. In addition to painting, drawing and photography, video and installation will also be presented. Some works come from the Head High Second Floor collection as well.

“TOUCH ME”- Group show
นิทรรศการงานศิลปะของศิลปินมากกว่า 14 คน

ดูแลศิลปินโดย ไรนฮาร์ด เครชแนร์
11 มิ.ย. 2565 – 23 ก.ค. 2565

นำเสนอ โดย Head High Second Floor.

“Touch Me” มีความหมายหลายชั้นในภาษาอังกฤษสามารถแปลได้ทั้งตามตัวอักษร และในเชิงเปรียบเทียบความหมายตามตัวอักษรคือ “การสัมผัสทางกาย” ในขณะที่ ความหมายในเชิงเปรียบเทียบ อาจมีความหมายมากกว่านั้นอีกมาก ในแง่ของการเปรียบเปรย “Touch Me” คือการแสดงความเห็นอกเห็นใจหรือความรู้สึกโดยแสดงอารมณ์ที่แท้จริงออกมา ความรู้สึกเหล่านี้สามารถเติมเต็มเศร้าหรือแม้แต่มีความสุข ภายในขอบเขตของความหมายเหล่านี้

“Touch Me” ได้อธิบายถึงนิทรรศการศิลปะที่กำลังจะมีขึ้นนี้อย่างสมบูรณ์แบบ นิทรรศการที่สำรวจความรู้สึกเหล่านี้ผ่านภาพเปลือยและความเร้าอารมณ์ในงานศิลปะ ภาพเปลือยคือการเปิดเผย แต่กลับถูกปกปิดและทำให้เบลอเมื่อมันสื่อถึงการยั่วเย้าและสิ่งน่ารังเกียจ ภาพเปลือยเป็นศิลปะประเภทที่เก่าแก่ที่สุดและลึกลับที่สุดจนถึงทุกวันนี้ ภาพนู้ดสร้างสะพานที่สั่นคลอนข้ามของแบ่งระหว่างศิลปะชั้นสูงและภาพลามกอนาจาร งานศิลปะดังกล่าวรู้วิธีที่จะสื่อทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน

ซึ่งแหล่งที่มาของแรงบันดาลใจและงานศิลปะที่เร้าอารมณ์ ในนิทรรศการ “Touch Me” มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงออกถึงสิ่งเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมา แนวศิลปะดังกล่าวจะนำเสนอในแง่มุมต่างๆ ซึ่งรวมถึงภาพเปลือย ในบริบทของอุดมคติความมุ่งมั่นในตนเอง หรือการรักร่วมเพศภาย ในงานนิทรรศการจะมีการแสดงงานศิลปะของศิลปินมากกว่า 14 คน ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดจิตรกรรมภาพวาดลายเส้นภาพถ่ายวิดีโอ และศิลปะจัดวางผลงานบางส่วนยังมาจากผลงานสะสมของแกลอรี่เฮดไฮเซ็กคอนฟลอร์อีกด้วย

“KWAI”- Sometimes I wish
I was a water buffalo
A solo exhibition by Maitree Siriboon

Curated by Reinhard Kressner
16.04.2022 – 28.05.2022

Presented by Head High Second Floor.

Opening Reception April 16th 2022, starting 6 pm, in presence of the artist.

Maitree Siriboon, born in 1983, lives and works in Ubon Ratchatani and Bangkok, is one of the best known Thai artists of his generation.

After completing his bachelor's degree at Silpakorn University, Maitree caused a sensation with his photo series "Isan Boy Dream" and "Isan Boy Soi 4" and quickly became well-known. His pictures literally went around the world and could be seen on almost every continent, in numerous exhibitions. Maitree also attracted attention with his beautiful, large-scale mosaic collages, installations and performances. In the course of his young career, he participated in biennials and triennials and received numerous national awards, including the prestigious Bangkok Bank Art Award in 2006. At this year's Bangkok Biennale, Maitree is represented with a large mosaiced sculpture of a water buffalo.

His work can be found in major private collections around the world and museum institutions.

“ควาย”- บางครั้งฉันคิดว่าฉันเป็นควาย
นิทรรศการเดี่ยว โดย ไมตรี ศิริบุญ

ดูแลศิลปินโดย ไรนฮาร์ด เครชแนร์
16 เมษ. 2565 – 28 พค. 2565

นำเสนอ โดย Head High Second Floor.

เลี้ยงรับรองวันเปิดงานแสดง 16 เมษ. 2565, เวลา 18.00 น, โดยศิลปิน

ไมตรี ศิริบุญ เกิดในปี พ.ศ. 2526 พำนักและทำงานในจังหวัดอุบลราชธานีและกรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในศิลปินไทยที่มีชื่อเสียงที่สุดในรุ่นราวคราวเดียวกับเขา

หลังจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ไมตรีได้สร้างความตื่นเต้น ด้วยภาพถ่ายชุด “Isan Boy Dream” และ “Isan Boy Soi 4” และกลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว รูปภาพของเขาแพร่หลายไปทั่วโลกในเกือบทุกทวีป ในนิทรรศการศิลปะต่างๆมากมาย ไมตรียังดึงดูดความสนใจผู้ชมด้วยภาพปะติด (Collage) โมเสกขนาดใหญ่ (Mosaic) ศิลปะการจัดวาง (Installation Art) และศิลปะแสดงสด (Performance Art) ในช่วงชีวิตการทำงานวัยหนุ่มของเขา เขาได้เข้าร่วมแสดงงานเทศกาลศิลปะร่วมสมัยเบียนนาเล่ (Biennials) และ เทียนนาเล่ (Triennials) และได้รับรางวัลระดับประเทศมากมาย รวมถึงรางวัลศิลปะธนาคารกรุงเทพฯ (Bangkok Bank Art Awar) อันทรงเกียรติในปี 2006 ที่งาน บางกอกเบียนนาเล่ในปีนี้

ไมตรีได้แสดงรูปปั้นโมเสกควายขนาดใหญ่ ผลงานของเขาสามารถพบได้ในงานสะสมส่วนตัวที่สำคัญทั่วโลกและสถาบันพิพิธภัณฑ์ต่างๆ

“The City of Goat”- a solo exhibition by WANMUHAIMIN E-TAELA

Curated by Anuwat Apimukmongkon
20.02.2022 – 02.04.2022

Presented by Head High Second Floor.

Opening Reception February 19th 2022, starting 6 pm, in presence of the artist.

Wanmuhaimin E-Taela (Min) was born in1997, in Narathiwat, Thailand, where he lives and works to this day. He graduated with a Bachelor of Fine Arts from Prince of Songkla University, Pattani campus.
“The City of Goat” will be his first solo-show in the northern capital.
Through his use of various artistic means - photography, video, painting, collage techniques and calligraphy - Wanmuhaimin’s (Min’s) work deals with cultural identity, belonging and self-discovery. The central question running through all of his work asks, “What home and/or homelessness means?”.

“เมืองแพะ” นิทรรศการเดี่ยวโดย วันมูไห่มิน อี-เตลา (มิน)

ดูแลศิลปินโดย อนุวัฒน์ อภิมุกมงคล
20.02.2022 – 02.04.2022

นำเสนอ โดย Head High Second Floor.

งานเปิด 19 กุมภาพันธ์ 2565 เริ่ม 18.00 น. พร้อมพบศิลปิน
วันมูหะมิน อี-เตละ (มิน) เกิดเมื่อปี 1997 ที่นราธิวาส จังหวัดที่เขา
อาศัยและทำ งานมาจนถึงทุกวันนี้ เขาสำเร็จการศึกษา
ศิลปศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต
ปัตตานี
“เมืองแพะ” คือนิทรรศการแสดงเดี่ยวครั้งแรกของเขา
และจะเป็นที่แรกในดินแดนล้านนาแห่งนี้
ดว้ ยการใชวิ้ธีการทางศิลปะที่หลากหลายของเขา ไม่ว่าจะเป็น
การถ่ายภาพ วิดีโอ ภาพวาด เทคนิคการตัดแปะและการประดิษฐ์ตัว
อักษร งานของ วันมูหะมินล้วนเกี่ยวข้องกับเอกลักษณ์ทาง
วัฒนธรรม ความเป็นเจา้ ของ และการคน้ พบอัตลักษณ์ คำถาม
สำคัญในการทำงานทั้งหมดของเขาคือ “ความหมายของบ้านและ
คนเร่ร่อนคืออะไร”

2021

“Apocalypse” a solo exhibition by

Anuwat Apimukmongkon

December 19,2021 - February 12,2022

Presented by Head High Second Floor.

Opening reception December, 18, 2021 at 6 p.m. in the presence of the artist.

 

Anuwat Apimukmongkon, born 1995, Trang, lives and works in the Deep South of Thailand. He graduated with a Bachelor of Fine Arts from Prince of Songkla University, Pattani campus.

This exhibition celebrates simplicity, opulence, beauty, and above all, love. As such where does “Apocalypse” fall into all this?

“HOPE LAND” a solo exhibition by BAPHOBOY

03.10.2021 – 04.12.2021

Presented by Head High Second Floor, Chiang Mai

Opening reception October 2nd 2021 from 6pm in presence of the artist

 

 

Sippakorn Khiaosanthia also known as Baphoboy (born 1995) is an artist from Chon Buri. He finished his studies at Silpakorn University Bangkok and graduated with a Bachelor of Art degree (Graphic Arts). He recently took the web by storm with his poignant satirical and enigmatic smiley figures. It was an immediate success, and since then his rapid ascension brought him to be selected for Pictoplasma Berlin 2021, the most important international conference and festival about contemporary character design.

His curent work, mostly digital paintings, tell a lot about present-day Thailand.

Baphoboy`s  work portrays his daily struggle and stress in dealing with news and politics. The COVID Pandemic is also on display in his work as its impact has sharpened and shaped his views in many ways.

The paintings come with characters in beautiful coloring setting, but their smiles seem frozen and the scene is often violent and sexually charged.

His pictures are strong and speak for themselves, even if they are sometimes full of hidden messages and symbols. For people who love Thailand and are interested in the history of the country these are not difficult to decipher.

His aim is to reach a broad public and encourage people not to be afraid and to stand up for basic human rights, equality and fairness.

Exhibiting for the very first time in the northern capital, a selection of 15 works will be displayed as high quality prints on paper and canvas, limited editions signed and dated by the artist.

His exhibition „Hope Land“ will be shown at Head High Second Floor in Chiang Mai from 03.10.2021 to 04.12.2021. Opening Reception on October 2nd from 6 pm. The artist will be present.